ทำไมต้องอ่านพระคัมภีร์

ทำไมต้องอ่านพระคัมภีร์

         เพราะพระคัมภีร์บรรจุพระวาจาของพระเจ้าซึ่งเป็นข่าวดีและก็เป็นพลังชีวิตด้วย

          ข่าวดีคืออะไร ?

          พระเยซูเจ้าตรัสกับชาวเมืองคาเปอรนาอุมว่า “เราต้องประกาศข่าวดีเรื่องพระอาณาจักรของพระเจ้าให้แก่เมืองอื่นด้วย เพราะเราถูกส่งมาก็เพื่อการนี้”(ลก 4:43)

         พระดำรัสนี้บ่งบอกชัดเจนว่าพระบิดาทรงส่งพระองค์มาก็เพื่อกระทำภารกิจหลักคือการประกาศ “ข่าวดี”  และข่าวดีที่ทรงประกาศคือเรื่อง “พระอาณาจักรของพระเจ้า”!

         เมื่อเอ่ยถึง “พระอาณาจักรของพระเจ้า”  พระคัมภีร์ใช้ศัพท์หลายคำซึ่งมีความหมายทำนองเดียวกัน เช่น

                  พระอาณาจักรของพระบิดา (มธ 13:43)
                  พระอาณาจักรของพระคริสตเจ้า (ลก 22:30)
                  อาณาจักรสวรรค์ (มธ 5:3)
                  สรวงสวรรค์ (2 คร 12:4)
                  บ้านพระบิดา (ยน 14:2)
                  สถานที่ศักดิ์สิทธิ์อย่างยิ่ง (ฮบ 9:12)
                  นครแห่งพระเจ้า, นครเยรูซาเล็มสวรรค์ (ฮบ 12:22)
                  บำเหน็จรางวัลยิ่งใหญ่ (มธ 5:12)
                  ความยินดีกับเจ้านาย (มธ 25:21)
                  ชีวิต (มธ 7:14)
                  ชีวิตนิรันดร (มธ 19:16)
                  มงกุฎแห่งชีวิต (ยก 1:12)
                  มงกุฎที่ไม่มีวันร่วงโรย (1 คร 9:25)
                  มงกุฎแห่งสิริรุ่งโรจน์ที่ไม่มีวันร่วงโรย (1 ปต 5:4)
                  มรดกของพระคริสตเจ้า (อฟ 1:18)
                  มรดกนิรันดร (ฮบ 9:15)

          แต่ที่คุ้นหูเรามากที่สุดคือ “สวรรค์” (มธ 6:9, 7:21)

         ที่ผ่านมาคนส่วนใหญ่ไม่สู้ยินดีกับ “ข่าวดีเรื่องพระอาณาจักรของพระเจ้า” มากนักเพราะเห็นว่าเป็นเรื่องไกลตัว เป็นเรื่องของอนาคตในโลกหน้า ซ้ำร้ายบางคนถึงกับกลัวและไม่อยากได้เพราะคิดว่าต้อง “ตาย” ก่อนจึงจะมีสิทธิลุ้น “สวรรค์”หรือเข้าสู่ “พระอาณาจักรของพระเจ้า” ได้

         อันที่จริงพระเยซูเจ้าทรงกล่าวถึง “พระอาณาจักรของพระเจ้า”ทั้งในแง่ที่เป็นอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ดังเช่น

         • อดีต - “ท่านทั้งหลายจะร่ำไห้คร่ำครวญและขบฟันด้วยความขุ่นเคืองเมื่อแลเห็นอับราฮัม อิสอัคและยาโคบ กับบรรดาประกาศกในพระอาณาจักรของพระเจ้า แต่ท่านทั้งหลายกลับถูกไล่ออกไปข้างนอก” (ลก 13:28)

         • ปัจจุบัน - “ไม่มีใครจะพูดว่า ‘พระอาณาจักรอยู่ที่นี่ หรืออยู่ที่นั่น’เพราะพระอาณาจักรของพระเจ้าอยู่ในหมู่ท่านทั้งหลายแล้ว” (ลก 17:21)

         • อนาคต - “พระอาณาจักรจงมาถึง” (มธ 6:10)

          คำถามที่ตามมาคือ “เป็นไปได้อย่างไรที่พระอาณาจักรของพระเจ้าเกิดขึ้นแล้วในอดีต (ก่อนพระเยซูเจ้าประสูติ)ดำรงอยู่ในปัจจุบัน (สมัยพระเยซูเจ้า)และจะมาถึงในอนาคต (เมื่อสิ้นพิภพ)”?

         กุญแจสำหรับไขปัญหานี้อยู่ที่ลีลาการเขียนในภาษาฮีบรูที่เรียกว่า Parallelismตามลีลานี้ ชาวยิวนิยมเขียนหรือพูดสิ่งเดียวกันซ้ำ 2 ครั้ง โดยครั้งที่สองอาจเป็นเพียงการซ้ำครั้งแรก หรือขยายความเพิ่มเติมก็ได้ แทบทุกข้อในหนังสือเพลงสดุดีล้วนใช้ลีลาการเขียนแบบนี้ เช่น

                   ครั้งแรก        “ผู้ชอบธรรมย่อมเป็นสุข” (สดด 1:1)

                   ครั้งที่สอง      “เขาไม่เดินตามคำแนะนำของคนชั่ว” (สดด 1:1)

         เราจึงได้คำอธิบายของผู้ชอบธรรมว่าคือผู้ที่ไม่เดินตามคำแนะนำของคนชั่ว

          หากนำลีลาเดียวกันนี้มาใช้กับคำวอนขอ 2 ประการในบทภาวนาที่พระเยซูเจ้าทรงสอนคือ “ข้าแต่พระบิดาของข้าพเจ้าทั้งหลาย”ดังนี้

                   ครั้งแรก        “พระอาณาจักรจงมาถึง” (มธ 6:10)

                   ครั้งที่สอง      “พระประสงค์จงสำเร็จในแผ่นดินเหมือนในสวรรค์” (มธ 6:10)

         เราอาจให้คำนิยามของพระอาณาจักรของพระเจ้าว่าเป็น “สังคมบนโลกนี้ที่พระประสงค์ของพระเจ้าได้รับการปฏิบัติอย่างสมบูรณ์เหมือนในสวรรค์”

         หรือพูดง่ายๆ “สวรรค์คือการปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระเจ้า”ซึ่งเกิดขึ้นได้ตั้งแต่อดีต ดำรงอยู่ในปัจจุบัน และจะสมบูรณ์ในอนาคต

         • ในอดีต อับราฮัม อิสอัค และยาโคบ ตลอดจนบรรดาประกาศกได้ปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระเจ้า ท่านจึงเป็นสมาชิกของพระอาณาจักรตั้งแต่ก่อนพระเยซูเจ้าประสูติ

         • ปัจจุบัน ผู้ใดปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระเจ้าก็เป็นสมาชิกของพระอาณาจักรแล้วตั้งแต่เวลานี้ และบนโลกใบนี้

         • แต่เนื่องจากโลกนี้ยังอยู่ห่างไกลจากการปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระเจ้าอย่างสมบูรณ์ เราจึงต้องวอนขอให้พระอาณาจักรมาถึงในอนาคตด้วย 

         การปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระเจ้านอกจากเป็น “สวรรค์” แล้ว ยังเป็น “หนทาง” สู่สวรรค์ดังที่ทรงตรัสว่า “คนที่กล่าวแก่เราว่า ‘พระเจ้าข้า พระเจ้าข้า’ นั้นมิใช่ทุกคนจะได้เข้าสู่อาณาจักรสวรรค์ แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระบิดาของเรา ผู้สถิตในสวรรค์นั่นแหละจะเข้าสู่สวรรค์ได้”(มธ 7:21)

          สาเหตุที่ทำให้การปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระเจ้าเป็นทั้ง “สวรรค์” และ “หนทาง” สู่สวรรค์ สามารถอธิบายได้ดังนี้

          ตั้งแต่ปฐมกาล พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ตามฉายา(image) ของพระองค์ และให้มีความคล้ายคลึง(likeness)กับพระองค์ (ปฐก 1:26)

         ธรรมชาติของพระเจ้าผู้ทรงเป็นจิตล้วนคือทรงมี “สติปัญญา” และ “อำเภอใจ”(free will) มนุษย์ผู้เป็นฉายาของพระองค์จึงมีทั้งสติปัญญาและอำเภอใจเหมือนพระองค์

         นอกจากมีสติปัญญาและอำเภอใจเหมือนพระองค์แล้ว มนุษย์ยังถูกสร้างมาให้มี “ความคล้ายคลึง” กับพระเจ้า นั่นคือรู้จักใช้สติปัญญาเพื่อ “คิดเหมือนพระเจ้า” และใช้อำเภอใจเพื่อ “รักและปรารถนาเหมือนพระเจ้า”

         เมื่อเรา“ปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระเจ้า” ก็เท่ากับเรากำลังคิดและปรารถนาเหมือนพระองค์ ซึ่งจะนำเราไปสู่การดำเนิน “ชีวิตเหมือนพระเจ้า”

         การมีชีวิตเหมือนพระเจ้าคือ “สุดยอดปรารถนา” ของทุกคนเพราะไม่มีสิ่งใดยิ่งใหญ่ เที่ยงแท้ และสมบูรณ์ดีงามไปกว่าพระ “ผู้เป็นเจ้า” อีกแล้ว

         การได้สิ่งอันเป็นสุดยอดปรารถนาคือ “ความสุขสูงสุด” ที่ทำให้จิตใจของเรา “อิ่ม, พอ” และ “ได้พักผ่อนในพระเจ้า”

         การปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระเจ้าจึงเป็น “สวรรค์” หรือ “พระอาณาจักรของพระเจ้า” ด้วยประการฉะนี้ !!

          นอกจากพระเจ้าจะทรงสร้างเรามาให้มีชีวิตเหมือนพระองค์ตั้งแต่สร้างโลกแล้ว  นักบุญยอห์นยังกล่าวถึงชีวิตในโลกหน้าว่า “ท่านที่รักทั้งหลาย บัดนี้ เราเป็นบุตรของพระเจ้าแล้ว แต่เราจะเป็นอย่างไรในอนาคตนั้นยังไม่ปรากฏชัดแจ้ง เราตระหนักดีว่า เมื่อพระองค์ทรงปรากฏ เราจะเป็นเหมือนพระองค์  เพราะเราจะได้เห็นพระองค์อย่างที่พระองค์ทรงเป็น” (1 ยน 3:2)

          สรุปว่า ชีวิตในโลกหน้าก็คือ “ชีวิตเหมือนพระเจ้า” อีกเช่นกัน

         เพราะฉะนั้น ทุกวันนี้หากเราดำเนิน “ชีวิตเหมือนพระเจ้า” ด้วยการปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระองค์ ก็เท่ากับว่าเราได้เป็นสมาชิกของพระอาณาจักรสวรรค์แล้วตั้งแต่ในโลกนี้อีกทั้งยังเป็นหลักประกันว่าเราจะได้เป็นสมาชิกถาวรชั่วนิรันดรในโลกหน้าอีกด้วย

         หากในโลกนี้เราไม่สามารถดำเนินชีวิตเหมือนพระเจ้าได้แล้ว ก็อย่าหวังไกลไปถึงสวรรค์หรือพระอาณาจักรในโลกหน้าเลย

         อย่าลืมว่า พระเยซูเจ้าทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนเพื่อไถ่บาปของเราและทำให้เราเป็น “อิสระ” จากบาปและอดีตอันขมขื่นแล้ว

         บัดนี้ เราสามารถลุกขึ้นยืนและหันกลับมาดำเนินชีวิตเหมือนพระเจ้าด้วยการ “คิดและปรารถนาเหมือนพระองค์” อีกครั้งหนึ่งแล้ว !

         ทุกวันนี้ไม่มี “ข่าว” อะไรจะ “ดี” ไปกว่าการที่พระเยซูเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์เพื่อทำให้เรามนุษย์มี “ชีวิตเหมือนพระเจ้า” อีกแล้ว !!!

         นี่คือข่าวดีก็จริง แต่ทำอย่างไรจึงจะรู้จักความคิดและความปรารถนาของพระเจ้าล่ะ เราจะได้ดำเนินชีวิตเหมือนพระองค์?!

         เพื่อจะรู้จักความคิดและความปรารถนาของพระเจ้า จำเป็นต้องรู้จัก “พระเยซูเจ้า”เพราะพระองค์ตรัสว่า“ถ้า​ท่าน​ทั้ง​หลาย​รู้จัก​เรา ท่าน​ก็​รู้จัก​พระ​บิดา​ของ​เรา​ด้วย”(ยน 14:7)“ผู้ที่เห็นเรา ก็เห็นพระบิดาด้วย”(ยน 14:9) และอีกตอนหนึ่งคือ“เราเป็นหนทาง ความจริง และชีวิต ไม่มีใครไปเฝ้าพระบิดาได้นอกจากผ่านทางเรา” (ยน 14:6)

         “พระคัมภีร์”คือแหล่งรวมเรื่องราวเกี่ยวกับพระเยซูเจ้า ซึ่งนักบุญยอห์นยืนยันว่า “ยังมีเรื่องราวอื่นๆ อีกมากมายที่พระเยซูเจ้าทรงกระทำ ซึ่งถ้าจะเขียนลงไว้ทีละเรื่องทั้งหมด ข้าพเจ้าคิดว่า โลกทั้งโลกคงไม่พอบรรจุหนังสือที่จะต้องเขียนนั้น”(ยน 21:24-25)

         ด้วยเหตุนี้ นักบุญเยโรมจึงฟันธงว่า ไม่รู้จักพระคัมภีร์คือไม่รู้จักพระคริสตเจ้า”

         นี่คือเหตุผลว่าทำไมต้องอ่านพระคัมภีร์ !!!