ล้างบาปแล้ว แค่เชื่อก็พอไหม?

ล้างบาปแล้ว แค่เชื่อก็พอไหม?

                   31พระ​เยซู​เจ้า​ตรัส​กับ​ชาว​ยิว​ที่​เชื่อ​ใน​พระ​องค์​ว่า “ถ้า​ท่าน​ทั้ง​หลาย​ยึดมั่น​ใน​วาจา​ของ​เรา ท่าน​ก็​เป็น​ศิษย์​ของ​เรา​อย่าง​แท้​จริง32ท่าน​จะ​รู้​ความ​จริง และ​ความ​จริง​จะ​ทำ​ให้​ท่าน​เป็น​อิสระ” (ยน 8:31-32)–เชื่ออย่างเดียวยังไม่เพียงพอที่จะเป็นศิษย์ของพระองค์อย่างแท้จริง

                   ความ​เชื่อ​ที่​ไม่​มี​การ​กระทำ​เป็นความเชื่อที่​ตาย​แล้ว!

                   14พี่​น้อง​ทั้ง​หลายจะ​มี​ประโยชน์​ใด​หาก​ผู้​หนึ่ง​อ้าง​ว่า​มี​ความ​เชื่อ​แต่​ไม่​มี​การ​กระทำความ​เชื่อ​เช่นนี้​จะ​ช่วย​ให้​เขา​รอด​พ้น​ได้​หรือ

                   19ท่าน​เชื่อ​ว่า​มี​พระ​เจ้า​เพียง​พระ​องค์​เดียว​หรือ​ดี​แล้วแม้​พวก​ปีศาจ​ก็​เชื่อ​เช่นนั้น​และ​ยัง​กลัว​จน​ตัวสั่น​ด้วย20คน​เบาปัญญา​เอ๋ยท่าน​อยาก​รู้​หรือ​ไม่ว่า​ความ​เชื่อ​ที่​ปราศจาก​การ​กระทำ​นั้น​ไร้​ประโยชน์

                   26ร่างกาย​ที่​ปราศจาก​วิญญาณ​ย่อม​ตาย​แล้ว​ฉันใดความ​เชื่อ​ที่​ไม่​มี​การ​กระทำ​ก็​ย่อม​ตาย​แล้ว​ฉันนั้น (ยก 2:14-26)

                   นักบุญยากอบเตือนเราโดยตั้งคำถามให้เราคิดว่า “จะ​มี​ประโยชน์​ใด​หาก​ผู้​หนึ่ง​อ้าง​ว่า​มี​ความ​เชื่อ​แต่​ไม่​มี​การ​กระทำความ​เชื่อ​เช่นนี้​จะ​ช่วย​ให้​เขา​รอด​พ้น​ได้​หรือ” พร้อมกันนั้นนักบุญยากอบก็ฟันธงว่า “ความเชื่อหากไม่มีการกระทำ ก็​เป็น​ความ​เชื่อ​ที่​ตาย​แล้ว”

                   บางคนอาจนึกแย้งว่าก็นักบุญเปาโลบอกไว้ในจดหมายถึงชาวโรม 3:28 ไม่ใช่หรือว่า “มนุษย์​ได้​รับ​ความ​ชอบ​ธรรม​โดย​ความ​เชื่อ ไม่​ใช่​โดย​ปฏิบัติ​ตาม​สิ่ง​ที่​ธรรม​บัญญัติ​กำหนด​ไว้” จนมาร์ติน ลูเธอร์ ถึงกับสอนว่า “เชื่ออย่างเดียว” ก็รอดพ้นแล้ว ถ้าเป็นแบบนี้ เราไปเป็นโปรแตสตันท์กันไม่ดีกว่าหรือ?

                   จริงอยู่ นักบุญเปาโลบอกว่า “มนุษย์​ได้​รับ​ความ​ชอบ​ธรรม​โดย​ความ​เชื่อ” แต่นักบุญเปาโลก็แยก “ความชอบธรรม” ออกจาก “ความรอดพ้น”

แล้วความชอบธรรมกับความรอดพ้นมันต่างกันอย่างไร ?

                   “ความชอบธรรม” เป็นพระหรรษทานที่พระเจ้าทรงโปรดประทานให้เราเมื่อเรามีความเชื่อ โดยทรงทำให้เราบริสุทธิ์ราวกับว่าไม่เคยทำบาปมาก่อน เราคริสตชนได้รับพระหรรษทานนี้และกลายเป็นผู้ชอบธรรมแล้วเมื่อเรารับศีลล้างบาป

                   ดังนั้นความชอบธรรมจึงเป็นเรื่องของอดีต เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นแล้วเมื่อเราเริ่มต้นชีวิตคริสตชนโดยการรับศีลล้างบาป

                   ตรงกันข้าม “ความรอดพ้น” นั้นเป็นเรื่องของอนาคต เป็นเรื่องของบั้นปลายชีวิตคริสตชนของเรา

                   ช่วงเวลาในปัจจุบันนี้จึงเป็นช่วงเวลาที่เราแต่ละคนจะต้องสอบภาคปฏิบัติให้ผ่าน ไม่ใช่ปล่อยให้ความเชื่อที่ทำให้เราเป็นผู้ชอบธรรมแล้วนั้นต้องตายไปเพราะขาดการกระทำ

                   นักบุญเปาโลจึงเตือนเราว่า ท่าน​ทั้ง​หลาย​จง​รู้​เถิด​ว่าเวลาที่​จะ​ประพฤติ​ปฏิบัติ​เช่นนี้​มา​ถึง​แล้ว บัดนี้​ถึง​เวลา​ที่​จะ​ต้อง​ตื่น​ขึ้น​จาก​ความ​หลับขณะนี้​ความ​รอด​พ้น​อยู่​ใกล้​เรา​มาก​กว่า​เมื่อ​เรา​เริ่ม​มี​ความ​เชื่อ”(รม13:11) และท่านนักบุญยังเตือนเราแรงๆ อีกว่า “ท่าน​จง​ออกแรง​ด้วย​ความ​เกรงกลัว​จน​ตัวสั่น​เพื่อให้​รอด​พ้น​เถิด”(ฟป2:12)

                   นอกจากนั้น อุปมาเรื่องการพิพากษาครั้งสุดท้ายของพระเยซูเจ้าก็ช่วยตอกย้ำความจำเป็นของภาคปฏิบัติ ไม่ใช่หยุดอยู่ที่ความเชื่อเพียงอย่างเดียว โดยไม่มีการกระทำ 34แล้ว​พระ​มหา​กษัตริย์​จะ​ตรัส​แก่​ผู้​ที่อยู่​เบื้องขวา​ว่า ‘เชิญ​มา​เถิด ท่าน​ทั้ง​หลาย​ที่​ได้​รับ​พระ​พร​จาก​พระ​บิดา​ของ​เรา เชิญ​มา​รับ​อาณา​จักร​เป็น​มรดก​ที่​เตรียม​ไว้​ให้​ท่าน​แล้ว​ตั้งแต่​สร้าง​โลก 35เพราะว่า เมื่อ​เรา​หิว ท่าน​ให้​เรา​กิน เรา​กระหาย ท่าน​ให้​เรา​ดื่ม เรา​เป็น​แขก​แปลก​หน้า ท่าน​ก็​ต้อนรับ 36เรา​ไม่​มี​เสื้อผ้า ท่าน​ก็​ให้​เสื้อผ้า​แก่​เรา เรา​เจ็บป่วย ท่าน​ก็​มา​เยี่ยม เรา​อยู่​ใน​คุก ท่าน​ก็​มา​หา’

                   40พระ​มหา​กษัตริย์​จะ​ตรัส​ตอบ​ว่า ‘เรา​บอก​ความ​จริง​แก่​ท่าน​ทั้ง​หลาย​ว่า ท่าน​ทำ​สิ่งใด​ต่อ​พี่​น้อง​ผู้​ต่ำต้อย​ที่สุด​ของ​เรา​คน​หนึ่ง ท่าน​ก็​ทำ​สิ่ง​นั้น​ต่อ​เรา’”(มธ25:34-36,40)