ในสมัยของพระเยซูเจ้าไม่มีเครื่องเสียง พระองค์ใช้เทคนิควิธีอะไรในการเทศน์สอนผู้คนเป็นหมื่นเป็นแสน?

ในสมัยของพระเยซูเจ้าไม่มีเครื่องเสียง
พระองค์ใช้เทคนิควิธีอะไรในการเทศน์สอนผู้คนเป็นหมื่นเป็นแสน
?

          พระ​เยซู​เจ้า​ทอด​พระ​เนตร​บรรดา​ศิษย์แล้ว​ตรัส​ว่าสำหรับมนุษย์เป็นไปไม่ได้แต่สำหรับพระเจ้าทุกอย่างเป็นไปได้(มธ 19:26)

          พระองค์เดินบนผิวน้ำ รักษาคนเจ็บป่วย ขับไล่ปีศาจ เปลี่ยนน้ำให้เป็นเหล้าองุ่น รักษาคนตาบอด ทำให้คลื่นลมสงบ เลี้ยงคนห้าพันคนด้วยขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัว แค่พูดกับฝูงชนเท่านี้มันเรื่องจิ๊บจ๊อย

          แต่คำตอบนี้จะอธิบายเรื่องเดียวกันในกรณีของโมเสส หรือนายพลที่พูดกับทหารทั้งกองทัพได้อย่างไร

          บางคนให้เหตุผลว่าเป็นเพราะสถานที่อำนวย เช่นเป็นอัฒจันทร์ บางคนบอกว่าพระเยซูเจ้าพูดกับคนทีละกลุ่มๆ ละสองสามร้อยคนสับเปลี่ยนกันไป หรือไม่ก็ให้คนบอกต่อ

          สมัยที่ยังไม่มีเครื่องไม้เครื่องมือหรือเทคโนโลยีอย่างในปัจจุบัน ผู้คนมีความสามารถที่จะจดจำและบอกต่อได้มากกว่านี้ อย่างเช่นธรรมประเพณีของชาวยิวที่ถ่ายทอดต่อกันมาด้วยปากเปล่า หรือตอนที่มีเพียงโทรศัพท์บ้าน เราจำเบอร์โทรได้ แต่ทุกวันนี้มันอยู่ในเมโมรี่ของสมาร์ทโฟน เราจำเบอร์แทบไม่ได้แล้ว

           ยิ่งเราก้าวหน้าทางเทคโนโลยีมากเท่าใด ความสามารถของเราก็พลอยหดหายไปด้วย เมื่อมีเครื่องขยายเสียง ความสามารถในการพูดดังๆ หรือการฟังเสียงค่อยๆ ก็ลดน้อยไปด้วย

          เมื่อปี 1858 อับราฮัม ลินคอลน์ จากพรรครีพับลิกัน ได้โต้วาที 7 ครั้งกับ สตีเฟน ดักลาส จากพรรคเดโมแครต เพื่อชิงตำแหน่งวุฒิสมาชิกของรัฐอิลลินอยส์ แต่ละครั้งมีผู้ฟัง 10,000 ถึง 12,000 คน พวกเขาพูดกับคนจำนวนมาก มากกว่าพระเยซูเจ้าสองเท่าโดยยังไม่มีเครื่องขยายเสียง แล้วทำไมพระเยซูเจ้าจะทำไม่ได้ล่ะ

          ช่วงปี 1730 จอร์จ ไวท์ฟิลด์ นักเทศน์นิกายแองกลิกันผู้มีชื่อเสียงมาก อ้างว่าได้เทศน์กลางแจ้งในกรุงลอนดอนให้แก่คนแปดหมื่นคน และทุกคนก็เข้าใจสิ่งที่เขาพูด

          เบนจามิน แฟลงคลิน ไม่เชื่อ จึงทำการทดสอบเมื่อไวท์ฟิลด์มาเทศน์ที่เมืองฟีลาเดลเฟียในปี 1739 จากจำนวนประชากรขณะนั้น 13,000 คน มีผู้มาฟังไวท์ฟิลด์ 6,000 คน (เกือบครึ่งเมือง)

          แฟลงคลินเดินขึ้นลงวัดระยะทางว่าไกลแค่ไหนที่เขายังฟังไวท์ฟิลด์ได้ยิน แล้วคำนวณออกมาเป็นพื้นที่ได้ 23,000 ตารางเมตร พร้อมกับคำนวณว่าแต่ละคนต้องการพื้นที่เฉลี่ย 2 ตารางฟุต ซึ่งคำนวณแล้วจุคนได้ถึง 125,000 คน แต่แฟลงคลินก็สรุปแบบถ่อมตนว่า มีคนที่สามารถฟังไวท์ฟิลด์เทศน์ได้ยินมากกว่า 30,000 คน

          ต่อมามีนักวิจัยจากห้องแลปของมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก ชื่อ โบเรน และ โรกินสกา ได้วิจัยและทดลองผลงานของแฟลงคลินแล้วก็ยืนยันว่า ในวันที่ดินฟ้าอากาศดี ลมสงบ ผู้คน 20,000-30,000 คน สามารถฟังไวท์ฟิลด์ได้ยิน

          เหตุผลเป็นเพราะไวท์ฟิลด์เป็นคนเสียงดัง คนที่อยู่ห่างจากเขา 3 หลาจะยินเสียงระดับ 90 db ในขณะที่คนทั่วไปอยู่ที่ระดับ 74 db

          และตามปกตินักพูดทั่วไปเขาจะตะโกนทีละ 4-5 คำ แล้วหยุดเพื่อหายใจ

           นอกจากนี้ สภาพแวดล้อมยังอาจเพิ่มความดังของเสียงได้อีกถึง 6 db